รายวิชา การจัดการระบบงานเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
(MECTS)
เป็นการศึกษาระบบงานทั้งหมดเพื่อประยุกต์ใช้ในการจัดการภายในองค์กร
การประเมินผลการเรียน
(อิงเกณฑ์)
1)
การเข้าเรียน 10% Þ ขาด 1 ครั้ง หัก 1 คะแนน
Þ การลาแบบมีใบลาจะไม่นับเป็นขาด แต่ถ้าลา 2 ครั้งจะนับเป็นขาด 1 ครั้ง)
2)
คะแนนเก็บ 15% Þ การบ้าน แบบฝึกหัด บล็อค
และงานกลุ่ม
3)
สอบข้อเขียน 20% Þ สอบกลางภาค
4)
รายงาน กรณีศึกษาและนำเสนอ 30% Þ รูปเล่มรายงาน 15 คะแนน
Þ นำเสนอ 15 คะแนน
- ความน่าสนใจ
- เทคนิคและเครื่องมือที่ใช้
- ความสนใจและความร่วมมือของเพื่อนในห้อง
- สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ลง BLOG
(ทั้งของตนเองและเพื่อน)
รายละเอียดงาน
1)
อ่านบทความวิจัยเกี่ยวกับการจัดการทางเทคโนโลยี
และเขียนรายงานสรุปแนวคิด หลักการให้เห็นภาพในภาษาของตนเอง พร้อมทั้งเขียนอ้างอิง
โดยจัด
Þ
บทความภาษาไทย 5 เรื่อง
Þ
บทความภาษาอังกฤษ 3 เรื่อง
2)
เลือกบทความจากข้อ 1) ภาษาไทย 1 เรื่อง และภาษาอังกฤษ 1 เรื่อง มาพูดคุยแลกเปลี่ยนในห้องเรียน
(โดยต้องจัดทำเอกสารให้เพื่อนอ่านเพื่อแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน)
3)
สร้าง WEB BLOG ของตนเอง
โดยดูตัวอย่างการใส่รายละเอียดข้อมูลได้ใน sutithep.blogspot.com/p/link.html
4)
ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีที่ชื่นชอบ
(ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการ และองค์กรทางเทคโนโลยีนำไปใช้) ไม่น้อยกว่า 3 ทฤษฎีต่อคน
5)
ศึกษาดูงาน
ในสถานที่หรือองค์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เช่น TK PARK หอสมุดแห่งชาติ ฯลฯ
ร่วมกันสรุปและเสนอแนวคิดเพิ่มเติม
จากเอกสาร “เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในฐานะศาสตร์ โดยศ.ดร.ชัยยงค์
พรหมวงศ์”
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในฐานะศาสตร์
จะกล่าวใน 2 ประเด็น คือ
(1) องค์ประกอบของศาสตร์ทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
(2)
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในฐานะวิชาชีพชั้นสูง
ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์
ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของศาสตร์ทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ครอบคลุมศัพท์เฉพาะศาสตร์ โครงสร้างเนื้อหาสาระและวิธีการศึกษาค้นคว้าวิจัย
(ชัยยงค์ พรหมวงศ์ 2540 : 5)
1) ศัพท์เฉพาะศาสตร์ (Nomenclatures)
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
มีศัพท์เฉพาะศาสตร์ที่ครอบคลุมศัพท์ด้านการจัดระบบและออกแบบระบบ พฤติกรรม วิธีการ
การสื่อสาร (โสตทัศน์ สื่อมวลชน สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม
และสื่อคอมพิวเตอร์) สภาพแวดล้อม การจัดการเรียนรู้ และการประเมิน
ศัพท์เหล่านี้บางส่วนก็ใช้ร่วมกับสาขาอื่นของศึกษาศาสตร์
บางส่วนก็บัญญัติขึ้นเป็นการเฉพาะ
2) โครงสร้างเนื้อหาสาระ (Structure of Content) หรือขอบข่ายงานเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มีโครงสร้างเนื้อหาสาระที่จำเป็น 3 มิติ คือ
2.1 ขอบข่ายด้านสาระของเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
หรือขอบข่ายตามแนวตั้ง ครอบคลุม 7 ขอบข่าย ได้แก่ (1)
การจัดระบบและออกแบบระบบ (2) พฤติกรรม (3)
วิธีการ (4) การสื่อสาร (โสตทัศน์ สื่อมวลชน
สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และสื่อคอมพิวเตอร์) (5) สภาพแวดล้อม
(6) การจัดการเรียนรู้ (7) การประเมิน
(1) การจัดระบบและออกแบบระบบ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- การจัดระบบ (Systems
Approach) เป็นการวางแผนการพัฒนาระบบใหม่หรือปรับปรุงระบบที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
- การพัฒนาระบบ (Systems Development) เป็นการสร้างระบบขึ้นมาใหม่หรือเป็นการปรับปรุงระบบที่มีอยู่แล้วให้ทำงานได้ดีขึ้น
- การออกแบบระบบ (Systems Design) เป็นขั้นตอนหนึ่งของการสังเคราะห์ระบบและการสร้างแบบจำลองระบบที่เกี่ยวข้องกับการนำองค์ประกอบมาจัดเรียงลำดับให้อยู่ในขั้นตอนที่เหมาะสม
(2) พฤติกรรมเป็นการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขณะจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
(3) วิธีการครอบคลุมทั้งวิธีการศึกษาค้นคว้าโดยทั่วไปและวิธีการจัดการเรียนการสอน
(4) การสื่อสาร
ครอบคลุมการสื่อสารการศึกษาและการสื่อสารการสอน ซึ่งมักใช้โสตทัศน์
สื่อมวลชน สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และสื่อคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อช่วยในการสื่อสาร
(5) สภาพแวดล้อม ครอบคลุมประเภทและการจัดการ
โดยประเภทอาจจำแนกเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางจิตภาพ
และสภาพแวดล้อมทางสังคม
(6) การจัดการเรียนรู้ ครอบคลุม
การจัดการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน โดยมุ่งที่การจัดหาและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(7) การประเมิน ครอบคลุม
การประเมินที่ครบวงจร คือ การประเมินปัจจัยนำเข้า การประเมินกระบวนการ และการประเมินผล
ทั้งที่เป็นการประเมินในวงกว้าง คือ การประเมินการศึกษา และในวงแคบ คือ
การประเมินการเรียนการสอน
2.2 ขอบข่ายด้านภารกิจ หรือขอบข่ายตามแนวนอน เป็นมิติภารกิจที่นำเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาไปใช้ในการสนับสนุนสาขาอื่นของศึกษาศาสตร์
ประกอบด้วย 3 ภารกิจ ได้แก่ (1) ด้านบริหาร (2) ด้านวิชาการ
(3) ด้านบริการ
(1)
ด้านบริหาร เป็นเครื่องมือในการจัดระบบการบริหารการกำหนดพฤติกรรมการบริหาร
วิธีการบริหาร การสื่อสารในองค์กร การจัดสภาพแวดล้อมด้านการบริหาร การจัดการ
และการประเมินการบริหาร
(2) ด้านวิชาการ เป็นเครื่องมือในการจัดระบบงานทางวิชาการ
อาทิ การพัฒนาหลักสูตร การผลิตงานทางวิชาการ ฯลฯ
(3) ด้านบริการ เป็นเครื่องมือในการจัดระบบงานบริหาร การกำหนดพฤติกรรมการบริการ
วิธีการบริการ การสื่อสารในการให้บริการ การจัดสภาพแวดล้อมด้านการบริการ
การจัดการด้านการให้บริการ และการประเมินการบริการ
2.3 ขอบข่ายตามรูปแบบการจัดการศึกษา หรือขอบข่ายตามแนวลึก เป็นมิติทางรูปแบบการศึกษาที่นำเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาไปใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการศึกษา โดยมีบทบาทในการสนับสนุนการศึกษา
4 ด้าน ได้แก่ (1) การศึกษาในระบบโรงเรียน
ซึ่งประกอบด้วยระบบการศึกษาระดับประถมศึกษา
มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา (2) การศึกษานอกระบบโรงเรียน (3) การฝึกอบรม (4) การศึกษาทางไกล
3) วิธีการศึกษาค้นคว้าวิจัย (Mode of
Inquiries) เป็นวิธีการที่ใช้ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
เพื่อขยายพรมแดนแห่งความรู้ด้านนี้ให้เพิ่มพูนขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์
ได้กล่าวถึงเกณฑ์กำหนดวิชาชีพชั้นสูง มี 8 ประการ กล่าวคือ
มีลักษณะบริการที่เด่นชัด ใช้กระบวนการทางสติปัญญา มีเสรีภาพในการประกอบวิชาชีพ
มีหลักสูตรศึกษาอบรมที่มีระยะเวลาแน่นอน มีการฝึกงานหรือประสบการณ์วิชาชีพ มีใบรับรองหรือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
มีจรรยาบรรณวิชาชีพ และมีองค์กรหรือสมาคมกำหนดและควบคุมมาตรฐานวิชาชีพ (ชัยยงค์
พรหมวงศ์ 2540 : 6-7)
1)
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษามีลักษณะบริการที่เด่นชัด
การบริการของนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาครอบคลุม
· การให้บริการด้านการจัดระบบและออกแบบระบบ
เช่น บริการจัดระบบการเรียนการสอน การออกแบบการสอน เป็นต้น
· การกำหนดลักษณะและรูปแบบพฤติกรรมผู้สอน
ผู้เรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
· พัฒนาและคิดค้นวิธีการทางการศึกษาและการเรียนการสอน
· การกำหนดรูปแบบการสื่อสาร
(การส่ง การปรุงแต่งสาร ช่องทางและสื่อ และการรับสาร
· การให้บริการด้านการจัดสภาพแวดล้อมการศึกษา
(ในห้องเรียน เช่น การจัดมุมวิชาการ การจัดห้องเรียน ฯลฯ นอกห้องเรียน เช่น
ศูนย์วิทยบริการ ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการ พิพิธภัณฑ์ ฯลน)
· การเสนอวิธีการจัดการเรียนการสอน
อาทิ การจัดการเกี่ยวกับนักเรียน สื่อการสอน
· การบริการด้านการวัดและการประเมิน
(ในเมืองไทยปัจจุบันจะอยู่ในความดูแลของนักวัดผล แต่ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ
จะอยู่ในความดูแลของนักเทคโนโลยีการศึกษา)
2) การใช้กระบวนการทางสติปัญญา
เป็นการใช้กระบวนการคิด ใคร่ครวญที่มีระเบียบระบบในการให้บริการ
มิใช่เพียงการออกแรงกายเท่านั้น
แม้บ่อยครั้งนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอาจจะต้องใช้แรงงาน
ก็เพียงเพื่อให้งานดำเนินไปอย่างรวดเร็ว มิใช่รอแรงงานจากฝ่ายอื่น
แล้วนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเป็นฝ่ายชี้มองให้คนอื่นออกแรงเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างการใช้กระบวนการคิดอย่างมีระบบของนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
เช่น “KEMP MODEL”
รูปแบบการสอนของ Jerrold Kemp (1994)
เจอโนลด์ เคมป์
ได้พัฒนาและปรับปรุงรูปแบบการสอนขึ้นในปี ค.ศ. 1994 ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง
ๆ ซึ่งพิจารณาจากองค์ประกอบเกี่ยวกับการเรียนการสอนในบทเรียนที่เน้นการปฏิสัมพันธ์
ปรกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
(1) ระดับในสุด ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้
1. ปัญหาการเรียนการสอน
(Instructional Problems) เป็นการกำหนดปัญหาการเรียนการสอน เพื่อนำไปพิจารณาออกแบบและพัฒนาบทเรียน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน (Learner
Characteristics) เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียนหรือระบบการสอนที่พัฒนาขึ้น
3. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task
Analysis) เป็นการวิเคราะห์งานที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้หรือสังเกตไดหลังจบบทเรียน
4. วัตถุประสงค์การเรียนการสอน
(Instructional Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
5. การเรียงลำดับเนื้อหา (Content
Sequencing) เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหา โดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้
6. กลยุทธ์การเรียนการสอน (Instructional
Strategies) เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียนการสอน เพื่อนำเสนอบทเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การนำส่งการเรียนการสอน (Instructional
Delivery) เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการนำส่งบทเรียนไปยังผู้เรียน ได้แก่
นำเสนอเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเล็ก และนำเสนอเป็นรายบุคคล
8. เครื่องมือวัดผลการเรียนการสอน
(Instructional Instruments) เป็นการออกแบบเครื่องมือวัดผล เพื่อใช้สำหรับประเมินผลผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้
9. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน
(Instructional Resources) เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง
ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้การเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ
(2) ระดับที่สอง
ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน (Revision) และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ
(Formative Evaluation)
(3) ระดับนอกสุด
ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ (Support Services) การบริหารโครงการ
(Project Management) และการประเมินผลสรุป (Summative
Evaluation)
3)
การมีเสรีภาพในการประกอบวิชาชีพของนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา หมายถึง
การที่นักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
สามารถใช้ความรู้และประสบการณ์ในการให้บริการในวิชาชีพของตนอย่างเป็นอิสระ
กล่าวคือ มีอำนาจในการวางแผน เตรียมการดำเนินการและประเมินผลงานของตนเอง
และสามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าในสายงานครบวงจรจากต่ำไปถึงสูงในกรอบแห่งกฎระเบียบและจรรยาบรรณในวิชาชีพ
4)
การมีหลักสูตรศึกษาอบรมที่มีระยะเวลาเด่นชัด
ผู้ที่จะมาเป็นนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
จะต้องผ่านการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ
หรือมีประสบการณ์ที่เทียบได้ไม่ต่ำกว่านั้น หลักสูตรการศึกษาอบรมมักมีจำนวนหน่วยกิตที่จะศึกษาและมีจำนวนปีที่จะศึกษาแน่นอน
เช่น หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี สำหรับผู้สำเร็จมัธยมศึกษา 2 ปี
สำหรับผู้สำเร็จอนุปริญญาหรือปริญญาตรีมาแล้ว นอกจากนี้
นักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอาจศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอก (นับถึงปี
พ.ศ.2538 มีสถาบันที่เปิดสอนถึงระดับปริญญาโทในเมืองไทยประมาณ 12 สถาบัน
และปริญญาเอก 2 สถาบัน)
5)
การเข้ารับการฝึกงานหรือรับประสบการณ์ที่จำเป็นเพิ่มเติม
เมื่อเรียนวิชาครบตามกำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว
นักศึกษาจะต้องเข้าฝึกงานหรือประสบการณ์วิชาชีพเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ณ
สถานที่และในเวลาที่กำหนด เพื่อให้มีโอกาสฝึกการนำความรู้ความสามารถมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง
6)
การมีใบรับรองหรือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาที่ผ่านการศึกษาอบรมแล้ว
ก็จะได้รับปริญญาบัตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงหรือวุฒิบัตรที่มีฐานะเทียบเท่าในบางประเทศ
ผู้ประกอบอาชีพเป็นนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอาจต้องได้รับใบอนุญาต (Credential/License)
ก่อนที่จะประกอบวิชาชีพ สำหรับในเมืองไทย
การได้รับปริญญาบัตรนับเป็นใบอนุญาตไปในตัว
7)
การมีจรรยาวิชาชีพเป็นกรอบกำหนดความประพฤติ ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้นักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเอารัดเอาเปรียบหรือทำความเดือดร้อนให้ตนเองหรือผู้อื่นและก้าวล้ำสิทธิวิชาชีพอื่น
ในประเทศไทย
นักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาส่วนใหญ่เป็นครูจึงอยู่ในการควบคุมของจรรยาวิชาชีพครู
เมื่อมีสมาคมเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาขึ้นแล้ว สมาคมนี้
ก็อาจจะกำหนดจรรยาวิชาชีพนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
8)
การมีองค์กรหรือสมาคมเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
องค์กรดังกล่าวจะมีหน้าที่กำหนดและควบคุมมาตรฐานวิชาชีพ
ส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยและส่งเสริมคุณภาพของสมาชิกที่เป็นนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
เพื่อให้มีองค์ความรู้เพิ่มพูนและแนวปฏิบัติในการบริการมีประสิทธิภาพ
สรุปได้ว่า
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในฐานะศาสตร์ที่ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์
ได้กล่าวไว้มี 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรก องค์ประกอบของศาสตร์ทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาครอบคลุมด้าน
(1) ศัพท์เฉพาะศาสตร์ (nomenclatures)
ได้แก่ การจัดระบบและออกแบบระบบ พฤติกรรมวิธีการ การสื่อสาร
สภาพแวดล้อม การจัดการเรียนรู้และการประเมิน (2) โครงสร้างเนื้อหาสาระ (structure
of content) ที่จำเป็น 3 มิติ คือ มิติด้านสาระ มิติด้านภาระกิจ
และมิติด้านรูปแบบการศึกษา (3) วิธีการศึกษาค้นคว้าวิจัย (mode of
inquiries) เป็นวิธีการใช้เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางเทคโนโลยีการศึกษา
เพื่อให้มีความรู้ด้านนี้เพิ่มขึ้น
ประเด็นที่สอง คือ
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในฐานะวิชาชีพชั้นสูง
เป็นการกล่าวถึงเกณฑ์วิชาชีพชั้นสูง 8 ประการ คือ มีลักษณะบริการที่เด่นชัด
ใช้กระบวนการทางสติปัญญา มีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ มีหลักสูตรศึกษาอบรมที่มีระยะเวลาแน่นอน
มีการฝึกงานหรือประสบการณ์วิชาชีพ มีใบรับรองหรือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
มีจรรยาบรรณวิชาชีพ
และมีองค์กรหรือสมาคมกำหนดและควบคุมมาตรฐานวิชาชีพคำกล่าวในประเด็นสอง คือ “เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในฐานะวิชาชีพชั้นสูง” มีการกำหนดเกณฑ์วิชาชีพชั้นสูงไว้ครอบคลุมคุณลักษณะตามองค์ประกอบของศาสตร์ทางเทคโนโลยีการศึกษา
สามารถนำเกณฑ์วิชาชีพชั้นสูงเหล่านี้ไปประกอบการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพทางเทคโนโลยีการศึกษาต่อไป
ข้อมูลที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
1. ISD:
Instructional System Design
2. พ.ร.บ. การศึกษา และ พ.ร.บ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
3. ศัพท์ราชบัณฑิตสถาน เช่น Instructional ปกติเรามักจะใช้คำว่า
การเรียนการสอน แต่ในราชบัณฑิตแปลคำนี้ไว้ว่า การสอน
4. CAI: บทเรียนคอมพิวเตอร์
งานของสัปดาห์นี้
1. ความแตกต่างของคำต่อไปนี้
โสตทัศนศึกษา คอมพิวเตอร์ศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีการศึกษา
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
2. ศึกษา “KEMP MODEL”
3. ศึกษา “ทฤษฎีทางการบริหารองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี” ว่าเป็นของใคร
ใช้อย่างไร 1 ทฤษฎี/คน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น