ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการองค์กร ทฤษฎี Z โดย ดร.วิลเลี่ยม โออุชิ

ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการองค์กร

ทฤษฎี โดย ดร.วิลเลี่ยม โออุชิ (William G. Ouchi)


ดร.วิลเลี่ยม โออุชิ (William G. Ouchi)

ที่มา http://www.anderson.ucla.edu/



ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม โออุชิ เป็นศาสตราจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านการจัดการและการจัดองค์กร มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
William G. Ouchi, Distinguished Professor of Management and Organizations, University of California at Los Angeles (UCLA)
Phone: (310) 206-9008
william.ouchi@anderson.ucla.edu
        ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม โออุชุ เกิดในปี ค.ศ. 1943 (ปัจจุบันมีชีวิตอยู่ด้วยอายุ 74-75 ปี) ที่เมืองฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นคนสัญชาติอเมริกัน แต่มีเชื้อชาติทั้งญี่ปุ่นและอเมริกัน ขณะนี้เป็นนักการศึกษาหรือศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางด้านการจัดการและการจัดองค์กรของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย รัฐลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยศาสตราจารย์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านเศษฐศาสตร์การเมืองจาก William College (1965) จบการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ จาก Stanford University (1967) และจบการศึกษาระดับปริญญาเอกทางด้านบริหารธุรกิจ จาก University of Chicago (1972) หลังจากจบการศึกษาศาสตราจารย์ได้ทำงานเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบริหารที่ Stanford University เป็นเวลา 7-8 ปั (1972 – 1979) ก่อนที่จะย้ายไปทำงานยังมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียจนถึงปัจจุบัน ผลงานที่ทำให้ศาสตราจารย์เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือการเขียนหนังสือเรื่อง “Theory Z : How American Management Can Meet the Japanese Challenge (Addison-Wesley, 1981)” ซึ่งเป็นทฤษฎีทางการบริหารธุรกิจที่เกิดขึ้นจากผลกระทบระหว่างระบบการบริหารแบบญี่ปุ่นและอเมริกาที่ธิบายโครงสร้างตามการจัดการผสมผสานระหว่างการบริหารแบบสหรัฐอเมริกา (Theory A : America Theory) กับการบริหารแบบญี่ปุ่น (Theory J : Japan Theory) และหลังจากนั้นศาสตราจารย์ได้เขียนหนังสือที่ได้รับความนิยมอีกจำนวนหนึ่ง

ผลงานทางด้านหนังสือ
                                                      Theory Z: How American Management Can Meet the Japanese Challenge (1981)
                                                            The M-Form Society: How American Teamwork Can Recapture the Competitive Edge (1984)
                                                     Making Schools Work: A Revolutionary Plan to Get Your Children the Education They Need (2003)
                                                    The Secret of TSL: The Revolutionary Discovery That Raises School Performance (2009)

ทฤษฎี Z โดย ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม โออุชิ
        บางตำราอาจจะเรียกทฤษฎี z ว่าเป็นกลุ่มทฤษฎีร่วมสมัยหรือเป็นทฤษฎีที่มองเห็นว่าการจูงใจคนนั้นต้องเป็นไปตามสถานการณ์ ซึ่งจากที่ได้กล่าวถึงประวัติของศาสตราจารย์โออุชิมาข้างต้นนั้น ท่านเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ที่มีเชื้อสายญี่ปุ่น ท่านได้ศึกษาวิจัยว่า แนวความคิดในการบริหารจัดการของโลกนั้น แบ่งออกเป็น 2 ค่าย คือ ค่ายอเมริกันและค่ายญี่ปุ่น โดยสาเหตุที่ต้องศึกษาเช่นนั้น เพราะท่านมองว่าประเทศสหรัฐอเมริกามักประสบความสำเร็จในธุรกิจโดยเฉพาะก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ช่วงประมาณ ค.ศ. 1939-1945) และเป็นผู้ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ผลปรากฏว่า ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นนั้นแม้จะเป็นประเทศที่ขาดดุลทางการค้าแก่อเมริกาแต่ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมา จนสามารถเป็นยักษ์ใหญ่ในโลกเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ คล้ายกับว่า อเมริกันนั้นขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นอย่างย่อยยับ ดังนั้นศาสตราขารย์วิลเลี่ยม จึงศึกษาวิเคราะห์ถึงจุดเด่น จุดด้อยของการบริหารจัดการจากทั้งสองค่ายเพื่อนำมาสร้างเป็นแนวคิด ทฤษฎีใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือทฤษฎี z ที่ตีพิมพ์ลงหนังสือในปี ค.ศ. 1981 และเนื่องจากทฤษฎี z มีแนวทางการพัฒนามาจากการบริหารของประเทศสหรัฐอเมริกา (บริหารด้วยทฤษฎี A) กับประเทศญี่ปุ่น (บริหารด้วยทฤษฎี J) ในการที่จะทำความเข้าใจทฤษฎี z นั้น จึงควรที่จะศึกษาทำความเข้าใจทฤษฎี A และทฤษฎี J ก่อน
     ทฤษฎี A (American Theoryเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกา ซึ่งองค์กรเน้นการจ้างงานระยะสั้น พนักงานมีความรับผิดชอบและการตัดสินใจของตนเอง โดยไม่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในการบริหารจัดการแบบนี้ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล ซึ่งในทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
        1)   Individualism คือ การที่สังคมอเมริกันเป็นสังคมแบบ ปัจเจกบุคคล ซึ่งจะมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมาแต่อดีต และเมื่อคนต่างชาติโดยเฉพาะคนตะวันออกเข้าไปอาศัยในอเมริกันก็จะสังเกตว่า คนอเมริกันเป็นคนโดดเดี่ยว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร สังคมแบบ Individualism ส่งผลให้เกิดบุคลากรที่มีความรับผิดชอบในหน่วยงานสูง แต่ก็เกิดผลเสียคือ ไม่เกิดความผูกพัน
        2)   Short Term Employment คือ การจ้างงานในระยะสั้น คนอเมริกันมักไม่มีความผูกพันในครอบครัว ในที่ทำงาน พร้อมเสมอที่ออกจากงาน ย้ายงาน จึงมักมีบริการให้เช่าสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมองว่าต้นทุนในการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เมื่อย้ายงาน ออกจากบ้าน จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าค่าเช่า
         3)   Individual Decision Making สูง มีความมั่นใจในการตัดสินใจ กล้าตัดสินใจ ทำให้ผู้บริหารไม่ต้องไปดูแลอย่างใกล้ชิด ผลเสียคือ ขาดการทำงานเป็นทีม
ทฤษฎี J (Japan Theory) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะเน้นการจ้างงานตลอดชีวิต หรือ Lifetime Employment มีการเลื่อนตำแหน่ง มีความผูกพันกัน เพราะฉะนั้นการเลี้ยงคนแบบญี่ปุ่นจะส่งเสริมให้มีการฝึกงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผลเสียคือ ต้องเลี้ยงคนที่มีประสิทธิภาพการทำงานต่ำไว้ในหน่วยงานจนตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน ก่อให้เกิดผลเสียต่อองค์การ ลักษณะอีกประการของการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น คือ ต้องมี Consensual Decision Making คือ การตัดสินที่ต้องได้รับการยอมรับจากที่ประชุม ซึ่งเป็นผลดี แต่ผลเสีย คือ อาจเกิดความล่าช้า
        จากที่ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม โออุชิ ศึกษาและวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อยของทั้ง 2 ทฤษฎีตัวอย่าง แล้วนำมาสร้างเป็นทฤษฎีร่วมสมัย (Blend Together) หรือการนำมาผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่า ทฤษฎี Z ซึ่งเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ โดย
         1)   Long Term Employment หรือการจ้างงานระยะยาวขึ้น ซึ่งเป็นทางสายกลาง คือ ไม่ต้องจ้างตลอดชีวิตแต่ก็ไม่ใช่การจ้างแบบระยะสั้น แต่เน้นการจ้างในระยะเวลาที่นานพอสมควรแล้วสร้างความผูกพัน
         2)   Individual Responsibility คือ จะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล ซึ่งนำเอาหลักแนวคิดแบบอเมริกันมาใช้กับบุคลากรในหน่วยงานให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง กล้าตัดสินใจ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารมากจนเกินไป
        3)   Consensual Decision Making คือ การตัดสินใจต้องทำเป็นทีม ต้องมีการพูดคุย ถึงผลดีผลเสียของการบริหารจัดการแบบต่างๆ
        เมื่อกล่าวถึงทฤษฎี Z A J ก็มักจะมีคนพูดถึงทฤษฎี X Y ที่พัฒนาขึ้นมาก่อน โดย Douglas Mc Gregor (ค.ศ. 1906-1964) เป็นการศึกษาทฤษฎีจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการควบคุมกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน และภาวะผู้นำ ที่ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้บริหาร Donglas Mc Gregor ได้ค้นพบแนวคิด “พฤติกรรมองค์การ” และสรุปว่า กิจกรรมการบริหารจัดการล้วนมีสาเหตุรากฐานมาจากทฤษฎีพฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviors) ซึ่งเป็นไปตามกรอบทฤษฎี X และทฤษฎี Y คือ
     ทฤษฎี X (Theory X) คือ คนประเภทเกียจคร้าน ในการบริหารจึงควรใช้มาตรการบังคับ มีระเบียบกฎเกณฑ์คอยกำกับ มีการควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิด และมีการลงโทษเป็นหลัก
ทฤษฎี Y (Theory Y) คือ คนประเภทขยัน ควรมีการกำหนดหน้าที่การงานที่เหมาะสม ท้าทาย ความสามารถ สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเชิงบวก และควรเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการบริหารงานสรุป Donglas Mc Gregor เห็นว่าคนมี 2 ประเภท และการบริหารคนทั้ง 2 ประเภท ต้องใช้วิธีการบริหารแตกต่างกัน
ลักษณะที่สำคัญของการบริหารองค์กรตามทฤษฎี Z
            1. ระยะเวลาจ้างงานระยะยาว เป็นไปตลอดชีพ (Lifetime Employment)
            ไม่มีข้อผูกมัดหรือเงื่อนไขทางสังคม ที่ทำให้คนงานจะย้ายงานไม่ได้หรือลำบากใจ ย้ายงานอย่างในญี่ปุ่น
            2. การประเมินและเลื่อนตำแหน่ง (Slow Evaluation and Promotion)
            การเลื่อนขั้นเป็นไปอย่างเร็วปานกลาง แต่จะไม่ช้าขนาด 10 ถึง 15 ปี ระยะเวลาเลื่อนขั้นต่าง ๆ จะสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม แต่การมีเวลาทิ้งช่วงช่วยให้พนักงานได้เห็นผลประโยชน์ และการประเมินผลงานของแผนงานระยะกลางและระยะยาว
            3. ลักษณะงานอาชีพ (Nonspecialized Career Paths)
            แนวทางอาชีพกึ่งเฉพาะด้าน เพราะไม่ถึงกับต้องหมุนเวียนไปทำงานทุก ๆ อย่างในบริษัท หรือกระทั่งไปทำบริษัทอื่นในเครือหรือสาขาอื่น แต่เปิดโอกาสให้พนักงานของตนได้มีประสบการณ์ในสายงานหนึ่ง ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต และกระทั่งการวางตลาด ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้เกิดความพอใจที่จะอยู่ในบริษัทนั้นมากยิ่งขึ้น
            4. การบริหารมีระบบการควบคุมที่ไม่มีรูปแบบ (Implicit Control Mechanisms)
            เป็นการควบคุมการบริหารแบบอเมริกัน ใช้ระบบ MBO กลไกการควบคุมงานอยู่ในจุดสมดุล ระหว่างแบบทางตรงและแบบทางอ้อม โดยสร้างให้เกิดบรรยากาศของความไว้วางใจ (trusts) ขึ้นในองค์การ
            5. การตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม (Consensual Decision Making)
            มีทั้งแบบรวมอำนาจและกระจายอำนาจ โดยมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องก่อน และคนที่รับผิดชอบจะเป็นคนตัดสินใจเองในที่สุด
            6. การทำงานและมนุษย์สัมพันธ์ในองค์การ
            มีอิสระเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพเท่าเทียมกันยึดหลัก ซื่อสัตย์ต่อกัน (trust) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (subtlety) ความใกล้ชิดและเป็นกันเอง (intimacy) ไม่เน้นถึงการปฏิบัติต่อกันในระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา โดยเพิ่มความเอาใจใส่ต่อบุคคลใต้บังคับบัญชามากยิ่งขึ้น และเน้นการประสานงานกันในระหว่างคนในระดับเดียวกัน ให้ทุก ๆ คนปฏิบัติต่อกันในฐานะ คนกับคน มิใช่ในฐานะ เจ้านายกับลูกน้อง   

    กล่าวโดยสรุปอีกครั้งว่า ทฤษฎี Z เป็นแนวความคิดการจัดการที่ผสมผสานแนวความคิดแบบอเมริกันและญี่ปุ่น โดยองค์การจะให้ความสำคัญกับความมั่นคงในการจ้างงาน การตัดสินใจที่เป็นเอกฉันท์ การมอบหมายอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบให้บุคคล การประเมินผลและการเลื่อนตำแหน่งแบบเป็นขั้นตอนและค่อยเป็นค่อยไป แต่มีระบบประเมินที่ชัดเจน การเติบโตในเส้นทางอาชีพมีความชัดเจน บริษัทข้ามชาติ ซึ่งมีรูปแบบการบริหารองค์การตามแนวคิดทฤษฎี Z ได้แก่ บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทพรอตเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฮิวเลต-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โกดัก (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจีอี แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด

ตัวอย่างงานวิจัยที่ศึกษาโดยใช้ทฤษี z (RESEACH)  
        Significance of Theory Z in Indian Scenario, Brajesh Kumar Parashar, Research Scholar, CRIM, Barkatullaha University Bhopal, M.P: International Journal of Management and Social Sciences Research (IJMSSR) Volume 5, No. 2, February 2016
        การบริหารองค์การแบบ z ที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การโดยรวมของพนักงานชาวไทยในกรุงเทพมหานคร โดยนางสาวสุภาวดี ธีระกร

การนำ ทฤษฎี z มาประยุกต์ใช้กับการบริหารองค์กร

        ทฤษฎี z เป็นทฤษฎีการบริหาร คนที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการบริหารองค์กร หากจะกล่าวถึงการนำมาใช้ในองค์กรนั้น คงต้องวิเคราะห์พื้นฐานของบุคคลากรในองค์กร

อ้างอิงข้อมูลจาก
    http://wirotsriherun1.blogspot.com/
    http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Man/Supawadee_T.pdf
    http://chuaychai.blogspot.com/2012/02/z.html





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น